ถั่วปากอ้า...อาจฆ่าลูกคุณ

Last updated: 7 พ.ค. 2564  |  111 จำนวนผู้เข้าชม  | 

ถั่วปากอ้า...อาจฆ่าลูกคุณ


วันอังคารที่ 5 สิงหาคม 2551ได้รับทราบจากครูประจำชั้นของลูกชายว่าลูกชายมีอาเจียนและตัวร้อน ไม่ได้ให้ลงเรียนว่ายน้ำ (ตอนไปรับลูกหลังเลิกเรียน ลูกสาวบอกคุณแม่ว่าตอนเช้าก่อนขึ้นห้องเรียนน้องอาเจียนตรงบันได) ตอนนั้นไม่ได้นึกอะไรคิดว่าคงจะเป็นไข้หวัดเหมือนเดิม เนื่องจากช่วงนี้เป็นฤดูฝน ฝนตกบ่อย ตัวลูกชายรุม ๆเหมือนมีไข้ เลยเอายาลดไข้เด็ก (Tempa) ให้ทานเป็นระยะทุก 4 ชั่วโมง มีอาการตัวรุม ๆตลอด มีไข้สูง เหมือนเป็นไข้หวัดวันพุธที่ 6 สิงหาคม 2551 ตอนเช้าสังเกตุว่าตัวยังรุมอยู่เลยไม่ได้ไปโรงเรียน เข้าห้องน้ำปัสสาวะเป็นสีน้ำโคล่า แต่ไม่ได้เอะใจ  ให้อาบน้ำ ทานข้าวและทานยาลดไข้ สักครู่ใหญ่ก็อาเจียนออกมาเป็นน้ำสีเขียว และเป็นอย่างนี้ตลอดทั้งวัน จนถึงเย็นประมาณ 20.00 น. ได้ปัสสาวะออกมาเป็นสีโคล่าอีกครั้ง ตัวเหลืองซีด เริ่มคุยไม่รู้เรื่องตอนนี้เริ่มสังเกตุเห็นความผิดปกติ จึงรีบพาไปโรงพยาบาลของรัฐฯ แห่งหนึ่งย่านมีนบุรี รอประมาณครึ่งชั่วโมงหมอเอาปัสสาวะไปตรวจ รออีกประมาณครึ่งชั่วโมง พยาบาลเรียกคุณแม่เข้าไปพบแจ้งว่าลูกชายต้องนอนโรงพยาบาล ถามว่าเป็นอะไร ทำไมต้องนอนด้วย พยาบาลให้ถามหมอ หมอบอกว่าไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นอะไร และเกิดจากอะไร จึงต้องนอนโรงพยาบาลก่อนและพรุ่งนี้จะทำการตรวจอีกครั้ง สิ่งที่ได้ยินจากหมอไม่ใช่สิ่งที่เราต้องการ ลูกชายมีอาการผิดปกติแต่หมอไม่รู้ว่าเป็นอะไร เหตุเพราะหมอไม่ได้ตรวจละเอียด หมอไม่มีความรู้ หรืออะไรกันแน่ !  สิ่งที่ต้องตัดสินใจตอนนั้นคือจะทำอย่างไรดี ความเป็นพ่อแม่ และประสบการณ์บอกให้เรารู้ว่าเรารอไม่ได้แน่เราใม่สามารถนำชีวิตลูกไปเสี่ยงและรอคอย เราไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นระหว่างการรอคอยและถ้ามีอะไรเกิดขึ้น ใครจะรับผิดชอบ ปัญหาเบื้องต้นหมอบอกไม่รู้ซะแล้วตัดสินใจย้ายโรงพยาบาลทันที ไปโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งย่าน ถ.รามอินทรา เข้าพบหมอทันที หมอได้ตรวจและซักถามอาการ หลังจากนั้นจึงวิเคราะห์ว่าอาการตัวซีดเหลือง ปัสสาวะเป็นสีน้ำโคล่า อาจเกิดได้ 4 กรณี 1.ไวรัสตับอักเสบ A 2. ธาลัสซีเมีย (กรรมพันธ์) 3. เม็ดเลือดแดงแตก 4. อื่น ๆ ที่จะต้องหาสาเหตุ     หลังจากนั้นหมอให้นอนโรงพยาบาลเพื่อตรวจหาสาเหตุที่แท้จริงเพื่อทำการรักษาต่อไป พยาบาลพาไปเจาะเลือดให้น้ำเกลือและพาไปห้องพัก ประมาณ 22.30 น. หลังจากนั้นประมาณ 23.00 น. ก็มีหมอเด็กเข้ามาแจ้งให้ทราบว่าผลเลือดออกมาแล้ว ผลปรากฏในขั้นต้นว่าเม็ดเลือดแดงแตก แต่ไม่ทราบว่าทำไมถึงแตก ในกรณีนี้จะต้องให้เลือดโดยเร็ว เพราะปกติในตัวเด็กจะมีเม็ดเลือดแดงอยู่ที่ 38-40 แต่ตอนนี้ลูกชายเหลืออยู่ 16 และมีอาการกระสับกระส่าย หายใจติดขัด พยาบาลต้องใส่ Oxygenให้และจำเป็นจะต้องย้ายไปอยู่ที่ ห้อง I.C.U/C.C.U. เพื่อเฝ้าระวังอาการ ได้ย้ายไปประมาณตอนเที่ยงคืน พอเข้าห้องไป พยาบาลก็เข้ามาติดเครื่องจับจังหวะการเต้นของหัวใจติดเครื่องวัดความดัน (ซึ่งพยาบาลจะเข้ามาวัดทุก ๆ ครึ่งชั่วโมง) ติดเครื่องตรวจจับระดับค่าออกซิเจนในร่างกาย ให้เลือด 1 ถุง และเจาะเลือดไปตรวจอีก สรุปว่าคืนนั้นอาการกือบโคม่าหรือ โคม่า หมอบอกว่าถ้าปล่อยทิ้งไว้นานกว่านี้อาจทำให้ช็อคและไตวายเสียชีวิตได้เพราะขาดเลือดมากเกินไป ตกดึกก็ยังนอนหลับไม่ค่อยสนิท ผวาและตกใจตื่น ลุกขึ้นนั่ง กระสับกระส่าย เป็นระยะ ๆ วันพฤหัสบดีที่ 7 สิงหาคม 2551 ตอนเช้าลูกชายมีสีหน้าดีขึ้น ปากเริ่มหายซีดเล็กน้อย ยิ้มได้ และเริ่มพูดคุยบ้าง เพราะได้เลือดเข้าไปช่วยประมาณ 220 กรัม ช่วงสายมีหมอเด็กมาตรวจอาการ แจ้งให้ทราบว่าเม็ดเลือดแดงแตกแต่ยังไม่รู้สาเหตุ จะต้องให้หมอที่เชี่ยวชาญทางด้านโลหิตวิทยามาตรวจอีกครั้งว่ามาจากสาเหตุใดกันแน่ ช่วงบ่ายๆ หลังจากที่หมอได้ตรวจเลือดและวิเคราะห์แล้ว หมอได้ถามว่าช่วงที่ผ่านมา 2-3 วันได้กิน ถั่วปากอ้า (Fava Beans) บ้างหรือไม่? ใช่แล้ว...เมื่อวันเสาร์ที่ 2 สิงหาคม 2551 ได้พาเด็ก ๆ ไปงานศพพี่สาวของย่า และในงานเจ้าภาพนำถั่วปากอ้ามาให้แขกกิน ปกติเด็ก ๆ จะชอบกินถั่วอยู่แล้วเลยทำให้กินเข้าไปเยอะมากและยังใส่ถุงกลับไปกินที่บ้านอีกตั้งหลายถุง หมอบอกว่านั่นแหละคือสาเหตุที่ทำให้เม็ดเลือดแดงแตก เนื่องจากลูกชายมี G6-P-D Enzyme บกพร่อง จึงไม่สามารถต่อต้านสารจากถั่วปากอ้าได้ วันศุกร์ที่ 8 สิงหาคม 2551 ลูกชายมีอาการดีขึ้นมาก ปากเริ่มหายจากอาการซีดขึ้นมาก แต่ตัวยังเหลืองอยู่ หมอบอกว่าหลังจากได้เลือดเข้าไปแล้ว ทำให้ระบบในร่างกายเข้าสู่ปกติแต่ยังมีเลือดที่แตกเข้าไปสู่อวัยวะบางส่วน ต้องใช้เวลาในการขับออกและตอนนี้ได้เลือดเข้าไปทำให้ค่าของเม็ดเลือดอยู่ที่ประมาณ  25 แต่จะให้ปกติโดยร่างกายของเด็กจะสร้างเม็ดเลือดแดงเองจนครบประมาณ 38-40 นั้นต้องใช้เวลาประมาณ 2 เดือนแล้วหมอจะตรวจ G6-P-D Enzyme อีกครั้ง ช่วงเที่ยงก็สามารถออกจากโรงพยาบาลได้    ประสบการณ์ครั้งนี้สอนเราหลายอย่าง 1. ถ้าเด็กมีอาการผิดปกติต้องพาไปโรงพยาลเพื่อพบหมอทันที 2. ไม่ควรไว้วางใจหมอจนเกินไป การตัดสินใจเป็นของเรา หากเราตัดสินใจถูกสิ่งดี ๆ ก็จะเกิดขึ้น ในวันนั้นถ้าผมเชื่อหมอที่โรงพยาบาลของรัฐฯ นอนรอดูอาการ อะไรจะเกิดขึ้นเพราะหมอที่โรงพยาบาลเอกชน บอกว่าเด็กเสียเลือดไปมาก อาจช็อคและเสียชีวิตได้ แบบนี้กระมังที่เป็นสาเหตุให้เกิดกรณีฟ้องร้องระหว่างหมอกับญาติคนไข้ 3. ถั่วปากอ้า (Fava Beans) มีพิษสำหรับเด็กบางคน เมื่อกินเข้าไปแล้วจะมีอาการตัวเหลือง หน้า ปาก ซีด ตาขาว ปัสสาวะเป็นสีโคล่า ต้องพาไปพบหมอโดยด่วน และหมอที่พบต้องกระตือรือร้นในการตรวจ-วิเคราะห์-รักษา หากไม่มีคำตอบอะไรจากหมอ เรามีสิทธิที่จะเปลี่ยนหมอ หรือหาหมอที่เหมาะสม สามารถที่จะให้คำตอบกับเราได้

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้